วิธีวิทยาว่าด้วยวิจักษณ์ : ปรัชญาการศึกษาตามแนวแห่งมหาวิทยาลัยโพธิศาสตร์
Not Research But Realize
ไม่ใช่การวิจัย แต่มันคือ การวิจักษณ์ มหาวิทยาลัยทั่วไป เน้นที่การวิจัย คือการสอนให้ น.ศ.ไปค้นคว้า
มหาวิทยาลัยโพธิศาสตร์ ไม่ได้เรียนแบบ “วิจัย” แต่เป็นเรียนแบบ “วิจักษณ์”
ในระดับปริญญาเอก การวิจักษณ์ หัวข้อดุษฎีนิพนธ์ ต้องขึ้นต้นด้วยคำว่า รูปแบบ แล้วรูปแบบคืออะไร ก็คือองค์ประกอบสำคัญ องค์ประกอบสำคัญ (element) คือ สิ่งต่าง ๆ ที่ใช้ประกอบเป็นสิ่งใหญ่, ส่วนของสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องประกอบทำให้เกิดเป็นรูปขึ้นใหม่โดยเฉพาะ
การนิยาม
วิจัย การหาค้นหาความจริง โดยการเรียนรู้จากคนอื่นเช่น จากการสอบถาม จากการสัมภาษณ์ การศึกษาจากกรณีศึกษา เป็นต้น เมื่อได้ความรู้แล้ว ก็ถือว่าสิ้นสุด ยุติ รับปริญญาได้
วิจักษณ์ การรู้แจ้ง ความชัดแจ้ง การตกผลึก น่าจะหมายความว่า การนำความคิด ความรู้ จากการไปศึกษาจากคนอื่นแล้ว ไปลงมือปฏิบัติจนเห็นผล ได้ผลชัดเจน ได้รับรู้รสแห่งการรู้จริงนั้น เปรียบเสมือนว่า เรียนรู้จักสูตรอาหารโดยละเอียด แต่ยังไม่ทดลองปรุงอาหาร และรับประทานด้วยตนเอง ย่อมไม่รู้จักรสชาตแท้
ปัญหาอาจจะมีว่า ถ้าเป็นกลุ่มบัวพ้นน้ำมาเรียน ไม่น่ามีปัญหา คงสามารถถอดความรู้มาได้ แต่ถ้าเด็กใหม่ เรียนมาตามขั้นตอนแบบไม่เคยทำงาน ไม่มีประสบการณ์ เรายอมได้แค่ไหนเพื่อการวิจักษณ์
หรือเราจะยอมกลับไปตามกระแสการวิจัย ที่ทำกันทุกมหาวิทยาลัย แบบสองมาตรฐาน
แต่ถ้าเราจะเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการลงมือทำ ไม่ใช่แค่ความจำและทำข้อสอบ
เราจำเป็นต้องหาโมเดลแห่งการจักษณ์ที่สามารถรับกันได้ในกลุ่มเริ่มต้น และทั้งเป็นการยืนยันในปรัชญาของเรา อย่างแน่วแน่ (ศักดิ์ ประสานดี)
เมื่อ นศ.BOU ยังไม่วิจักษณ์ จะทำอย่างไรดี
เราพยายามเน้นว่า การเข้าสอบกับ BOU ต้องเป็นการวิจักษณ์ คือเสนอองค์ความรู้จากการตกผลึกแล้ว แต่ปัญหาคือ นศ.เราจำนวนหนึ่ง ยังไม่วิจักษณ์ในงาน (รู้อย่างแจ่มแจ้ง จากประสบการณ์ที่ทำมาอย่างยาวนาน – นิโรธะ จากมรรควิธี) ประสบการณ์น้อย ไม่เพียงพอ พอเขียนเสนอ ค่อนข้างไม่ลึกซึ้ง มักหยาบเกิน
กรณีอ่อนประสบการณ์แบบนี้ ผมจึงเสนอให้ไปใช้การ “วิจัย” ในการเข้ามาสอบจากBOU แต่ต้องวิจัยเชิงคุณภาพ และไปศึกษาคนที่มีผลงานวิจักษณ์แล้ว ไม่น้อย 5 กรณีศึกษา ก่อนจะสรุปรวบยอดเป็นคำตอบ ทั้งในระดับ ปริญญา ตรี โท เอก
เพื่อยืนยันการไปลงพื้นที่ศึกษาจริง จึงควรต้องมีภาพการลงพื้นที่ ภาพของนักศึกษาระหว่างสัมภาษณ์พูดคุยด้วย
หลากหลายความคิดเห็น
วิจัยก่อนวิจักษณ์ หรือวัจัยแทนวิจักษณ์ เป็นทางออกที่ดีอย่างหนึ่ง เมื่อบารมียังไม่แก่กล้า ยังไม่มีประสบการณ์ตรง ก็ไปเรียนรู้จากความสำเร็จหรือประสบการณ์ของคนอื่นก่อน เท่าที่ผมมาคิดดู บางสาขาวิชา เช่น ภาษาศาสตร์ ของผมเอง แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกเล่าเชิงวิจักษณ์ในความสำเร็จของตัวเอง อย่างมากที่พอทำได้คือไปวิจัยความสำเร็จและผลงานของนักภาษาศาสตร์คนอื่นที่ถึงจุดสุดยอดของอาชีพ เช่นเป็นนักภาษาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศหรือระดับโลก อย่างน้อยสุดมีผลงานนวัตกรรมเป็นที่ยอมรับในแวดวงนักวิชาการ หรือเป็นศาสตราจารย์แล้ว สาขาวิชาอื่นๆก็อาจมีลักษณะคล้ายกันในประเด็นนี้ อันนี้เป็นมุมมองส่วนตัวนะครับ อาจแตกต่างหรือตรงข้ามกับบางท่าน ที่ทำงานในบริบทที่แตกต่างกันมา แค่หนึ่งความคิดเห็นที่อยากมีส่วนร่วมครับ (รศ.ดร.ธีรวิทย์ ภิญโญณัฐกานต์)
การวิจัยเชิงคุณภาพ มีวิธีการและขั้นตอนค่อนข้างแตกต่างจากการวิจัยเชิงปริมาณ ผู้จะทำวิจัยต้องศึกษา ทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถูกต้อง ก่อนลงมือเก็บข้อมูลทำวิจัย ต้องมีโครงร่างวิจัย ระบุระเบียบวิธี ขั้นตอนการทำวิจัยชัดเจน หากมีการอบรมการทำวิจัยก่อน จะดีมาก ตลอดเส้นทางการทำวิจัย ต้องมีอาจารย์ที่ปรึกษาหรือโค้ชคอยช่วยเหลือให้คำแนะนำด้วย จะได้เข้าถูกช่องทางตั้งแต่ต้น รอจนถึงวันสอบปากเปล่าก็สายเกินไปแล้ว (รศ.ดร.ธีรวิทย์ ภิญโญณัฐกานต์)
ถ้าจุดยืนของ BOU อยู่ที่การเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อการจัดการความรู้ BOU ก็ต้องสร้างเครื่องมือขึ้นมาจัดการความรู้ ซึ่งตามทฤฎีที่ว่าด้วยความรู้ แบ่งความรู้ออกเป็น 2 ประเภทคือ 1.) ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge)มี 20% 2.) ความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge) มี 80% เรา BOU จะต้องหาเครื่องมือมาจัดการความรู้ 80% นี้ให้ได้ ในเบื้องต้นนี้คิดได้ว่า ควรเป็น กระบวนการจัดการความรู้ 5 ขั้นตอน คือ 1.)ทบทวนความรู้ 2.) เรียบเรียงความรู้ 3.)วิธีการใช้ความรู้ 4.)ผลจากการใช้ความรู้ 5.)การถ่ายทอดความรู้ ในแต่ละขั้นตอนจะใช้เวลามากน้อยขึ้นอยู่กับนักศึกษาแต่ละคน (ต้องไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน) (ผศ.ดร.กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์)
กรอบความคิดทางการศึกษาของ BOU (ตอน 1)
ในการศึกษาระดับปริญญาโท และปริญญาเอก มักจะมีคำพูดยอดนิยม อันเป็นภาษาของนักวิชาการว่า อะไรคือ methodo หรืออะไรคือ methodology ของคุณ นั่นก็คือ คุณไปศึกษาแบบไหนนั่นเอง
– ผมจะลองตอบ เผื่อพวกเราจะได้ถกเถียงกับนักวิชาการกลุ่มนั้นได้
– เรื่องแรกสุดที่เราต้องเข้าใจคือ ปริญญาโท เอก เขาให้ทำวิจัย บางทีก็ไม่เรียนวิชาเลย ให้วิจัยอย่างเดียว เรียกว่า รีเสิช โปรแกรม research program บางทีก็เข้าชั้นเก็บคะแนนด้วย ให้ทำวิจัยด้วย (12 นก.)
แต่ ป โท บางทีก็วิจัยแบบง่าย ที่เรียกว่า การศึกษาอิสระ หรือเป็น Term Paper (เพียง 6 นก.เท่าน้น) หนักกว่านั้น บางมหาวิทยาลัย ไม่มีวิจัยเลย
วิจัย คืออะไร คือการค้นหาความจริงอย่างเป็นระบบ เรื่องที่คุณยังไม่รู้ ต้องตั้งหัวข้อ แล้วก็ตั้งสมมติฐาน วางรูปแบบการค้นหาคำตอบ ก็ลงมือหาคำตอบ แล้วก็สรุปผลการค้นหาซึ่งจะกลายเป็นคำตอบ
แนวทางการค้นหาคำตอบนี่เอง เป็นที่มาของรูปแบบและการวิจัยที่หลากหลาย เรียกขานกันมากมาย ก็นี่แหละที่นักวิชาการนักวิจัยเรียกกันว่า methodology ระเบียบวิธีการวิจัย หรือระเบียบวิธีการศึกษา เพื่อสร้างความน่าเฃื่อถือของผลการศึกษา หรือคำตอบ
ถ้าใช้แบบสอบถาม ก็มักจะเรียกว่า เชิงปริมาณ ถ้าไปลงพื้นที่ไปสัมภาษณ์ ก็เรียกงานวิจัยเชิงคุณภาพ จะเป็นกรณีเฉพาะ หรือ case study หรือจะสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ จะออกแบบสอบก็ต้องออกแบบสอบถาม ต้องทดลองแบบสอบถามก่อนจะใช้จริง ออกแบบสอบถามแบบไหน ถามกี่คน จะถามอย่างไร จะวิเคราะห์ด้วยสถิตืแบบไหน เรื่องยาวเหยียด
กรณีศึกษา แบบไหน กี่กรณี หามาอย่างไร ก็ยาวเหยียด
สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ อย่างไร กี่คน หามาอย่างไร ก็ยาวเหยียด
ถ้าวิจัยด้วยการทดลอง เรียกงานวิจัยแบบทดลอง ถ้าวิจัยด้วยการลงมือปฏิบัติ ก็เรียกวิจัยเชิงปฏิบัติ ถ้าวิจัยแบบปฏิบัติ แต่ให้มาร่วมปฏิบัติด้วย เรียกว่า ปฏิบัติแบบมีส่วนร่วม
ถ้าวิจัยด้วยการค้นเอกสาร ก็เป็นวิจัยเอกสาร ทุกอย่างยาวเหยียด เพราะผู้สอนแต่ละคน พยายามสร้างพิธีกรรมและเทคนิควิธีของตนเอง เพื่อให้ดูดี น่าเชื่อถือในสายตาของพวกอื่นๆ ทุกอย่างจึงซับซ้อนและยาวเหยียด
ศักดิ์ ประสานดี
เหนือฟากฟ้าเอเซีย 31 ต.ค.2561
กรอบความคิดทางการศึกษาของ BOU (ตอน 2)
สำหรับ BOU แล้ว งาน ป.โท ป เอก มิใช่งานวิจัย หรือการไปค้นหาความจริง ที่ตนเองยังไม่รู้และอยากรู้ งาน ป. โท, ป. เอก ของ BOU คืองานวิจักษณ์ คืองานที่รู้แล้ว เป็นงานทีผ่านกระบวนการค้นหาความจริงจากชีวิตจริง จนประจักษ์ชัดแล้ว แจ่มชัดแล้ว ให้เอาผลจากการประจักษ์ชัดนั้น มานำเสนอ แล้วอธิบายกระบวนการที่แจ่มชัดนั้น ว่าเป็นอย่างไร
ถ้าเป็น ป โท ให้วิเคราะห์ว่า ผลที่แจ่มชัดแล้วนั้น มีสาเหตุจากปัจจัยอะไร หรืออาจจะตอบว่า มีปัจจัยที่มีลักษณะโดดเด่นอย่างไร ถ้าเป็น ป เอก ให้สังเคราะห์ว่า ผลที่แจ่มชัดนั้น จะเป็นตัวแบบหรือ model หรือเป็นต้นแบบอย่างไร ถ้าจะถอดบทเรียนให้คนอื่นทำตาม อะไรใช่ อะไรแท้ อะไรสำคัญที่สุด
เมื่อเราเปลี่ยนปรัชญาตัวแรก เทคนิควิธรทั้งหลายก็เปลี่ยนหมด เช่น
– กลุ่มเป้าหมายหรือประชากรที่จะศึกษา ก็ไม่ต้องไปถามหาว่า จะศึกษาใคร อยู่ที่ไหน คุณสมบัติอะไร เพราะว่า ศึกษาตัวเอง ไม่ต้องไปหากลุ่มตัวอย่าง เพราะมีคุณคนเดียวเป็นตัวอย่าง ไม่ต้องไปเตรียมแบบสอบถาม และทดสอบแบบสอบถาม เพราะถามตัวเอง แต่ควรจะมีประเด็นหรือโครงสร้างการเขียน เหมือนร่างสารบรรณ ไม่ต้องมีสถิติมาวิเคราะห์ เพราะเป็นวิจัยเชิงคุณภาพ เพราะถามตัวคุณคนเดียว
– ไม่ต้องไปเก็บรวบรวมข้อมูลที่ไหน เมื่อไร อย่างไร เพราะคุณเก็บข้อมูลจากตัวคุณเอง ถามเอง ตอบเอง เมื่อไรที่ไหนก็ได้ ที่คุณอยากจะเขียน ไม่ต้องไปหาทฤษฎีใครมาเทียบเคียง เพราะคุณเป็นแบบ ไม่ต้องอ้างอิงว่าใครทำเหมือนหรือทำต่างจากใคร เพราะคุณไม่เหมือนใคร ไม่ต้องเขียนเป็นร้อยๆ หน้า แต่ต้องการเนื้อๆสัก 20 หน้า
– ไม่ต้องไปตั้งสมมติฐาน เพราะคุณไม่ได้ไปวิจัย ไม่ได้ไปหาความรู้ ไม่ได้ถามคนอื่นๆ และคุณได้วิจักษ์ณ์แจ่มแจ้งแล้ว เพียงแต่ต้องการถอดองค์ความรู้มานำเสนอ
แน่นอน ผู้มาขอสอบระดับ ป โท ป เอก จึงไม่ใช่เพิ่งจบมาหมาดๆ พวกใช้แต่สมองอันชาญฉลาด แต่ควรมีผลงานความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ จึงมาเสนอผลวิจักษณ์เพื่อรับการประเมินและรับปริญญาจาก BOU ได้
ผมผิดหวังพอสมควร ที่เห็นว่า ผู้มาสอบประเมินกับเรา ไม่มีความรู้อะไรเลย อย่าว่าแต่วิจักษณ์ แค่เขียนวิจัยก็ทำไม่เป็น แต่อยากได้ปริญญาเอกมากมายเหลือเกิน
และสถาบันสมทบบางทีก็อยากได้หน้าหรืออยากได้เงิน จนลืมตรวจสอบการวิจักษณ์ของผู้เรียน
มาช่วยพัฒนาทฤษฎีใหม่ในการวิจัย หรือ new methodology เพื่อสร้างความก้าวหน้าในงานทางวิชาการของการศึกษาอิสระหรือการศึกษาทางเลือกใหม่ แล้วแต่จะเรียก ให้มีความโดดเด่นในตัวเอง แข่งกับแนวคิดแบบอื่นได้อย่างสง่างาม
ศักดิ์ ประสานดี
ไทเป 31 ต.ค.61
คุณค่าและความงามของงานวิจักษณ์
“ไม่มีสถานศึกษาใดๆที่สอนทำธุรกิจค้าข้าวครับ แต่ผมเรียนรู้จากพ่อแม่ซึ่งเป็นชาวนา และเริ่มจากการตระเวนซื้อข้าวจากชาวนามาขายให้โรงสีข้าว จนกระทั่งมีโรงสีข้าวเป็นของตัวเองทั่วประเทศ และจัดจำหน่ายข้าวให้ทั้งผู้บริโภคภายในประเทศพร้อมทั้งส่งออกจำหน่ายต่างประเทศด้วย มีผลประกอบการต่อปีประมาณพันล้านบาทครับ ผมต้องเรียนรู้ด้วยตนเองแทบทุกอย่าง แม้กระทั่งต้องทดลองอบข้าวเปลือกด้วยอุณหภูมิต่างๆกันถึง 5 ขั้นตอน เพื่อจะให้ได้เมล็ดข้าวที่มีความแข็งเมื่อนำไปสีแล้วให้ได้ข้าวเต็มเมล็ดที่หักน้อยที่สุด ความรู้นี้ก็ต้องตั้งข้อสังเกตและทดลองด้วยตนเองมานานหลายปี กว่าจะได้เมล็ดข้าวที่มีคุณภาพครับ”
“จากการประกอบการธุรกิจโรงแรมบูทีคมานานนับ 10 ปี ช่วงโลว์ซีซั้นไม่ใช่ปัญหาของดิฉันค๊ะ ช่วงแรกก็กลุ้มใจอยู่เหมือนกัน วันหนึ่งนั่งปรึกษากับสามีเรื่องการรับมือในช่วงโลว์ซีซั่นจนเราได้ข้อสรุปร่วมกันคือ เราต้องร่วมมือกับบริษัททัวร์ต่างๆเพื่อทำการตลาดต่างประเทศไปในกลุ่มประเทศที่ไม่มีฝนตก เพื่อใช้ช่วงฤดูฝนมาเป็นจุดขาย ผลปรากฏว่าตั้งแต่ปีที่สองเป็นต้นมาช่วงโลว์ซีซั่นของเรากลับเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาจากกลุ่มประเทศที่ไม่มีฝนตก ซึ่งเขามาเที่ยวเพื่อต้องการสัมผัสบรรยากาศของเชียงใหม่และสายฝนนั่นเอง”
“ดิฉันเกิดมาเป็นลูกชาวนา พัฒนาตนเองด้วยความมุมานะพยายามจนเรียนจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดิฉันเชื่อว่าคนเราเกิดมาจนแต่ไม่ได้จนปัญญา และไม่ได้หมายความว่าเราจะก้าวหน้าหรือร่ำรวยไปกว่านี้ไม่ได้ เมื่ออยากเป็นเจ้าของกิจการก็ต้องอยู่กับเจ้าของกิจการ อยากเก่งภาษาก็ต้องอยู่กับเจ้าของภาษา ทุกช่วงเวลาที่ผ่านไปเราได้เรียนรู้เสมอ จนกระทั่งตัดสินใจทำคอนโดมิเนี่ยมขายและประสบความสำเร็จจนออกหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ พ่อจนสอนให้รวย 4ปี 4ร้อยล้าน ได้ในที่สุดค๊ะ”
นั่นเป็นสามตัวอย่างจากนักธุรกิจค้าข้าว เจ้าของโรงแรม และเจ้าของคอนโดมิเนียมหรูทั้งเชียงใหม่และกรุงเทพ ที่ให้สัมภาษณ์ขณะถอดความรู้อันเกิดจากประสบการณ์ตรงของแต่ละคน ทำให้ผู้เขียนเห็นความสวยงามจากประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนที่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่ไม่ต่างกันเลยนั่นคือ ทุกคนมีความรู้เป็นของเฉพาะตนที่ทดลองครั้งแล้วครั้งเล่าและเก็บข้อมูลทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการด้วยตนเองเพื่อใช้ทำงานจนประสบความสำเร็จในที่สุด
จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายว่า วิจักษณ์ คือ ที่รู้แจ้ง,ที่เห็นแจ้ง,ฉลาด,มีสติปัญญา,เชี่ยวชาญและชำนาญ ดังนั้นกระบวนการทำวิจักษณ์ของมหาวิทยาลัยโพธิศาสตร์จึงเป็นการกระบวนการที่ถอดความรู้จากผู้ที่รู้แจ้งเห็นแจ้งและเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ ที่แต่ละคนเชี่ยวชาญแตกต่างกันออกไป ในวิชาวิทยาปรัชญา(philosophy of science) เรียกว่าเป็นความรู้จากภายในตน ส่วนในวิชาญาณวิทยา(epistemology) ก็ยืนยันว่าประสบการณ์เป็นแหล่งที่มาของความรู้(knowledge)ทางหนึ่ง ดังนั้นการถอดความรู้จากประสบการณ์ของผู้เรียนของมหาวิทยาลัยโพธิศาสตร์ จึงเป็นความรู้ที่มีอยู่จริง ที่สำคัญคือเป็นความรู้ที่นำมาใช้ได้จริง ที่วงการวิชาการไม่อาจปฏิเสธการมีอยู่ของความรู้ดังกล่าวได้
ความรู้จากการวิจักษณ์เป็นเฉกเช่นเดียวกับความรู้ที่ได้จากวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นความรู้ในเรื่องของหลักการ,กฎเกณฑ์,ระเบียบปฏิบัติ,แบบแผน,คุณค่า,ความหมาย,ปัจจัย,และรูปแบบของปรากฏการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกทางสังคมศาสตร์และเป็นปรากฏการณ์ที่มีอยู่จริงใช้ได้จริง กล่าวคือนำมาใช้อธิบายและทำนายปรากฏการณ์ได้จริงในบริบทของการทำงานของบุคคลนั้นๆ ซึ่งในวิจัยเชิงคุณภาพเรียกว่าเป็นทฤษฎีรากฐานหรือทฤษฏีติดดิน(grounded theory) ดังนั้นงานวิจักษณ์ที่มีการวิเคราะห์สังเคราะห์และจัดระเบียบทางวิชาการไว้เป็นอย่างดีแล้ว จึงถือเป็นผลงานทางวิชาการในอีกกระบวนทัศน์(paradigm)หนึ่ง ที่มุ่งสร้างและอธิบายทฤษฎีกลุ่มใหม่
งานวิจักษณ์เก็บข้อมูลจากตัวผู้สำเร็จด้วยตนเอง เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลก็คือตนเอง พื้นที่ในการเก็บข้อมูลก็คือตนเอง แหล่งให้ข้อมูลก็คือตนเอง การตรวจสอบความเที่ยงตรงน่าเชื่อถือของข้อมูลก็ด้วยตนเอง และอาจมีผู้เชี่ยวชาญทางวิชาการเข้ามาช่วยจัดระบบให้ถูกระเบียบปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพในทางวิชาการยิ่งขึ้น แต่กระนั้นก็ตามสิ่งที่ยืนยันได้ถึงความเที่ยงตรงและน่าเชื่อถือที่สุดของผลงานวิจักษณ์ก็คือ การได้นำหลักการหรือทฤษฎีติดดินเหล่านั้นไปปฏิบัติได้อย่างแท้จริง มิใช่เป็นเพียงข้อค้นพบหรือทฤษฎีลอยๆที่เขียนไว้ในกระดาษแล้วไม่อาจนำไปเป็นแนวทางดำเนินการอะไรได้เลย
ดังนั้นการทำงานวิจักษณ์จึงมีมิติทางวิชาการที่เป็นทั้งการจัดการความรู้(knowledge management)จากผู้ที่มีความรู้อยู่แล้ว และได้ผลลัพท์เช่นเดียวกับการวิจัยเชิงคุณภาพ(qualitative research)คือค้นพบหลักการ คุณค่าความหมาย ระเบียบปฏิบัติ ปัจจัย แบบแผนหรือรูปแบบของปรากฏการณ์ต่างๆ ต่างกันเพียงแค่ระเบียบวิธีการได้มาของข้อมูลและความรู้เท่านั้น แต่เสน่หาคุณค่าและความงามที่สำคัญที่สุดของงานวิจักษณ์คือ ข้อค้นพบเหล่านั้นเป็นจริง ทำได้จริง ทำได้สำเร็จแล้วจริง และยืนหยัดท้าทายต่อการพิสูจน์ทั้งในทางวิชาการและวิชาชีพได้ นั่นคือมีความพริ้วไหวในมิติเชิงคุณภาพแต่ก็มีความแข็งแกร่งในทางวิชาการอยู่ในตนเองนั่นเอง
ดร.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์
ผู้อำนวยการสถาบันจิตเกษม
ผู้ช่วยอธิการบดี BOU เชียงใหม่