แนวทางการประเมินผลการนำเสนอดุษฎีนิพนธ์
หลักคิดเบื้องต้น
- มหาวิทยาลัย สนใจจะใช้คำว่า วิจักษณ์ มากกว่าคำว่า วิจัย โดยให้ความหมายความ วิจักษณ์ คือการนำเสนอองค์ความรู้ของนักศึกษา ที่เป็นผลจากการตกผลึกของประสบการณ์ ผลงานของตนเอง มิใช่การไปศึกษาผลงานของผู้อื่น ความรู้ ความคิด ประสบการณ์และการทำงานของผู้คนอื่นๆ
- หัวข้อระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยสนใจจะวิเคราะห์ปัจจัย เช่น ปัจจัยความสำเร็จของ…. หรือปัจจัยที่มีผลกระทบต่อ….. ในระดับปริญญาเอก จะให้ นศ.สังเคราะห์รูปแบบ โดยให้ขึ้นต้นด้วยคำว่า รูปแบบของ …….
คำว่า “รูปแบบ” หมายถึง องค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้งานนั้น ประสบความสำเร็จ ทำให้เกิดได้ ให้สามารถทำได้ เหมือนเรากำลังจะตอบคำถามว่า หากมีคนต้องการจะทำเหมือนเรา เราจะมีคำแนะนำอะไรบ้าง หรือจะทำเหมือนเรา ต้องเตรียมการอย่างไรบ้าง หรือเรากำลังทำแบบพิมพ์เขียวสร้างบ้าน ใครต้องการสร้างบ้านเหมือนเรา เขาเอาไปศึกษาดู เขาสามารถทำตามอย่างเราได้ หรือจะปรับปรุงต่อยอดจากเราได้ง่ายขึ้น
- มหาวิทยาลัยมุ่งไปที่ผลงานเชิงคุณภาพ อาจจะการนำเสนอข้อมูลเชิงปริมาณ หรือการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณมาประกอบการนำเสนอ แต่ไม่ประสงค์จะเป็นงานเชิงปริมาณล้วน ๆ
- ไม่ประสงค์จะให้นักศึกษา ไปเรียบเรียง ไปรวบรวม ไปคัดลอกผลงานการวิจัย การศึกษา ค้นคว้า หรือการนำข้อมูลเชิงทฤษฎีที่นักวิชาการ หรือปราชญ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศกล่าวไว้ แบบเดียวกันกับที่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยทั่วไปนิยมทำกัน
- มหาวิทยาลัย ไม่ได้ขึ้นทะเบียนหลักสูตรเป็นสาขาวิชา หรือหลักสูตรใดๆ มหาวิทยาลัยถือว่านักศึกษาสนใจในองค์ความรู้ด้านใด ก็จะถือว่าเป็นหลักสูตรด้านนั้น ๆ หรือเป็นสาขาวิชานั้น ๆ มหาวิทยาลัยจึงไม่มีผู้สอนในสาขา หรือในหลักสูตร แต่มีอาจารย์ที่จะให้คำแนะนำในเรื่องกระบวนการเรียบเรียง หรือการถอดองค์ความรู้ นักศึกษาทุกคนจึงสามารถจะแสดงความจำนงว่า ตนเองประสงค์จะขอรับปริญญาในสาขาวิชาใดก็ได้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับองค์ความรู้ที่นักศึกษานำเสนอ
- การนำเสนอดุษฎีนิพนธ์ จะใช้รูปแบบของการนำเสนอบทความทางวิชาการ โดยแบ่งสาระหลักเป็น 3 ประเด็นหลักสูตร คือ บทที่ 1 ความสำคัญของหัวข้อที่เสนอ บทที่ 2 เรื่องราว ข้อมูล ผลงาน การดำเนินงาน ประสบการณ์ตรงของผู้ศึกษา และบทที่ 3 การสรุปองค์ความรู้ที่ตกผลึก
จากการสัมผัสกับการนำเสนอของนักศึกษา พบปัญหาและประเด็นสำคัญ คือ
บทที่ 1 การนำเสนอความสำคัญ สั้นเกินไป เรียบเรียงไม่กระชับ นศ.ควรจะอธิบายถึงความสำคัญระดับสากล ความสำคัญในวงกว้าง แล้วค่อยมาพูดถึงประเทศไทย พูดถึงท้องถิ่นของ นศ.เอง อาจจะมีข้อมูล สถิติมาประกอบการนำเสนอ ย่อหน้าสุดท้าย จึงมาพูดถึง ทำไม นศ.จึงสนใจเรื่องนี้
บทที่ 2 การนำเสนอเรื่องราว ข้อมูล ประสบการณ์การณ์ พบว่า บทที่ 2 นี้ นศ. มักจะมุ่งไปที่นำแนวคิด ทฤษฎีต่าง ๆ มานำเสนอ เอาข้อมูลของนักวิชาการ หรือเอาตำราต่างๆ มานำเสนอ เช่น ใครพูดอย่างไร หลักการทั่วๆเป็นอย่างไร ความหมายอย่างไร มีการอธิบายอย่างไร เป็นต้น ซึ่งการเขียนเช่นนี้ เป็นการเขียนตามแนวทางการนำเสนอของมหาวิทยาลัยกระแสหลัก ล้วนเป็นการคัดลอกต่อๆกันมาทั้งสิ้น
มหาวิทยาลัยโพธิศาสตร์ ประสงค์จะให้บทนี้ เป็นการนำเสนอประสบการณ์ ผลงานของนักศึกษาโดยตรง เช่น ถ้าจะเสนอรูปแบบการทำธุรกิจ เป็นการเขียนเรื่องราวของตนเอง ประสบการณ์ การทำงาน ผลงานของตนเอง ไม่ได้ไปลอกทฤษฎีมานำเสนอ
การเขียนบทนี้ อาจจะเขียนแบบ Time Line คือเขียนตามลำดับเหตุการณ์ หรือลำดับเวลา เหมือนกับการพูดถึงวิถีชีวิต ที่เขียนตามลำดับวันหรืออายุ หรืออาจจะเขียนเป็นประเด็น ๆ เป็นเรื่อง ๆ เป็นกิจกรรมแต่ละประเภท ไม่จำเป็นต้องตามเหตุการณ์ หรืออีกวิธีหนึ่ง เขียนตามหลักที่เรียกว่า CIPP Model คือ 1) เสนอสภาพแวดล้อม เรื่องราวแวดล้อม 2) เสนอเรื่องการเตรียมการด้านต่างๆ การเตรียมตัว 3) เสนอเรื่องกระบวนการทำงาน หรือกิจกรรมแต่ละแห่ง และ 4) เสนอเรื่องผลของการทำงาน รวมถึงผลกระทบต่อเนื่องจากการทำงาน ผลนั้น อาจจะเป็นผลเชิงปริมาณ ผลเชิงคุณภาพ
ปัญหาอีกข้อหนึ่งของบทนี้ คือ เขียนสั้นเกินไป ผมเคยกล่าวว่า บทนี้ เป็นเหมือนมะพร้าวที่ถูกขูดแล้ว ต้องมีปริมาณเพียงพอจะคั้นเป็นกะทิ กากน้อย กะทิมาก ก็ไม่สอดคล้อง กากมาก กะทิน้อยก็ไม่สมดุลกัน ถ้ามีแต่กะทิ ไม่มีกาก ก็แปลว่าโม้มาก
อีกประเด็นก็คือ ควรมีภาพประกอบบ้าง เสนอเรื่องโรงงาน แต่ไม่มีแม้กระทั่วป้ายโรงงาน ภาพโรงงาน อาจจะทำให้สงสัยว่า มีโรงงานของตัวเองจริงหรือเปล่า หรือเป็นภาพที่มาจากอินเตอร์เน็ตทั้งหมด เคยพบว่า นศ.นำภาพจากอินเตอร์มาเสนอทั้งหมด โดยที่ นศ.ไม่ได้มีผลงานอะไรเลย สามารถปั้นน้ำเป็นตัวให้ผู้ประเมินประทับใจได้อย่างยอดเยี่ยม
บทที่ 3 เป็นคำตอบโดยตรง เป็นองค์ความรู้ตามโจทย์ที่ตั้ง ปัญหาที่มักเจอ คือ ที่เขียนมาทั้งหมด ไม่ตอบโจทย์เลย เช่น หัวข้อวิจัยบอกว่า รูปแบบของการพัฒนาผู้บริหารของบริษัท ก. ก็ต้องเขียนตอบว่า รูปแบบของการพัฒนาผู้บริหารของบริษัท ก. มีรูปแบบอย่างไรบ้าง ผมมักจะถามว่า มีกี่ข้ออะไรบ้าง ต้องสรุปมาให้ชัดว่า มีกี่ข้อ อะไรบ้าง ประมาณ 5-9 ข้อ ซึ่งก็คือไม่ควรน้อยไป ไม่ควรมากไป เวลาเขียนแล้ว ก็ต้องมีเหตุการณ์ มีรูปธรรม มีตัวอย่างสนับสนุน ไม่ใช่เขียนแบบลอยๆ เขียนเลื่อนลอย มีแต่หัวข้อ หรือไปเอารูปแบบหรือเอาทฤษฎีใดๆ มาตอบในข้อนี้ เราจะต้องเอาเหตุการณ์ที่เขียนแล้วในบทที่ 2 มาสนับสนุนบทที่ 3 เพื่อให้สรุปและการนำเสนอมีน้ำหนัก
- การนำเสนอเล่ม ขอให้เป็นการนำส่งไฟล์ท่าเป็น word ด้วย เพราะมหาวิทยาลัยจะได้ปรับปรุงเพื่อพิมพ์รวมเล่า มหาวิทยาลัยไม่ได้ขอเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ผลงาน แต่ขอสิทธิ์มาจัดพิมพ์รวมเล่ม หากท่านใดให้ไฟล์ไม่ได้ เพราะหวงลิขสิทธิ์ มหาวิทยาลัยจะไม่มอบปริญญาบัตร
การบริหาร การจัดการศึกษา ปริญญากิตติมศักดิ์ และการรับตำแหน่งทางวิชาการ
- ความเป็นมา
เป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาทางด้านศาสนา จัดการเรียนการสอนให้กับพระภิกษุสงฆ์ และประชาชนทั่วไป ที่เน้นความดีความงาม การสร้างสัมมาชีพ และการพัฒนาชุมชนและสังคม BOU เป็นสถาบันที่ไม่แสวงกำไร ผู้สมัครเข้าเรียนจะบริจาคสนับสนุนการศึกษาตามควร โดยจัดการศึกษาทั้งในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก
- การบริหาร และบุคลากร
- โครงสร้างการบริหารมีสภามหาวิทยาลัย, President, CEO, และ Rector (อธิการบดี) มีรองอธิการบดี ประจำมลรัฐ ประจำประเทศ รองอธิการบดีประจำฝ่ายต่าง ๆ รองอธิการบดีประจำกลุ่มจังหวัด มีผู้ช่วยอธิการบดี ประจำเมือง จังหวัด และประจำสายงานต่าง ๆ
- BOU มีศูนย์บริการที่ประเทศไทย เนื่องจากว่า เป็นมหาวิทยาลัยของไทย และต้องการเปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับคนไทยและคนอาเซียนด้วย จึงมีแผนการแต่งตั้งทีมบริหารในประเทศอื่นๆ ด้วย
- BOU เป็นสถาบันจิตอาสา จึงไม่มีการจ้างและการจ่ายเงินเดือนให้กับผู้บริหารและคณาจารย์ทั่วโลก และสถาบันยินดีรับบุคลากรอาสาสมัครทั่วโลกเป็นผู้บริหารและคณาจารย์ของสถาบัน
- การจัดการศึกษา
- ระดับปริญญาตรี
- ให้นำเสนอ “สารนิพนธ์ 1 เรื่อง”
- หาก นศ. มีผลงานประจักษ์ชัดเจนแล้ว คือ มีอาชีพ มีรายได้เป็นที่ยอมรับ ให้นำเสนอหัวข้อโครงงาน และใช้เวลาสร้างผลงานใหม่ ประมาณ 1 ภาคเรียน จึงจะมีสิทธิ์เข้าสอบ
- หาก นศ. ยังไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ชัด ให้กำหนดหัวข้อโครงงาน ลงมือปฏิบัติงาน จนประสบผลสำเร็จ จึงจะมีสิทธิ์เข้าสอบ โดยใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี
- สำเร็จการศึกษาชั้น 12 (ม.ปลาย) หรือหากอายุเกิน 30 ปีแล้ว สามารถมาขอเทียบโอนความรู้เทียบเท่า ม.ปลายได้ แล้วเรียนระดับปริญญาตรีได้เลย
- การเลือกหลักสูตรที่เรียน ให้เป็นไปตามความสนใจของ นศ. โดยพิจารณาจากชื่อโครงงาน
- ให้คณาจารย์ของมหาวิทยาลัย ติดตามผลการเรียนของ นศ. และจัดสอบประเมินเป็นระยะ ๆ จนกว่าจะสมบูรณ์
- การเขียนสารนิพนธ์เพื่อการนำเสนอ ให้ศึกษาได้ที่แบบฟอร์มของมหาวิทยาลัย
- ระดับปริญญาโท
- ผู้เรียนต้องจบปริญญาตรีแล้ว
- นศ.ต้องมีผลงานประจักษ์ชัดเจนแล้ว คือ มีอาชีพ มีรายได้ หรือมีงานบริหาร งานบริการ อื่นๆ เป็นที่ยอมรับ จึงมาสมัครเรียนได้ หากยังไม่มีผลงาน เมื่อสมัครเรียนแล้ว ต้องสร้างผลงานให้ประจักษ์ชัดก่อน ไม่น้อยกว่า 1 ปี
- ผู้ที่มีผลงานแล้ว เมื่อสมัครเรียน ให้ใช้เวลาประมาณ 1 ภาคเรียน มาวางแผนงานว่า จะทำให้งานของตัวเอง ดีขึ้นได้อย่างไร จะปรับปรุงพัฒนางานอะไรบ้าง นศ.จะรวบรวมข้อมูลการทำงาน ข้อมูลการเปลี่ยนแปลง และผลการเปลี่ยนแปลงที่ประสบความสำเร็จ จึงจะมีสิทธิ์เข้ามาสอบจบการศึกษา
- หลักสูตรที่เรียน หรือสาขาที่จบการศึกษา ให้เป็นไปตามความสนใจของ นศ. โดยพิจารณาจากชื่อหัวข้อวิจัย
- ให้คณาจารย์ของมหาวิทยาลัย ติดตามผลการเรียนของ นศ. และจัดสอบประเมินเป็นระยะ ๆ จนกว่าจะสมบูรณ์
- หัวข้อวิจัย ให้ขึ้นต้นด้วยคำว่า ปัจจัย… (ความสำเร็จของ…) …… ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อ ……. เป็นต้น
- ปริญญาโท ให้เน้นที่งานของตนเอง ไม่เน้นที่งานของคนอื่น ๆ ไม่ให้ไปเก็บข้อมูลคนอื่น เก็บแบบสอบถามจากคนอื่น ๆ ไปรวบรวมความรู้ของคนอื่น ๆ ให้เน้นที่งานของตนเองที่ลงมือทำแล้ว เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ
- การนำเสนอหัวข้อวิทยานิพนธ์ของ นศ. ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ผลงาน มี 3 หัวข้อดังนี้
- บทที่ 1 ความสำคัญของเรื่อง ให้นำเสนอ ความเป็นมา ความสำคัญ แรงบันดาลใจ ปัญหาที่พบ และเรื่องที่อยากวิเคราะห์ ให้พิจารณาจากหลักการกว้าง ๆ ไปจนถึงจุดเล็กๆ ที่เราจะนำเสนอ พูดในหลักการกว้าง ๆก่อน
- บทที่ 2 ผลงานการวิเคราะห์ ให้นำเสนอเรื่องราวของ นศ. ทำอะไร ทำอย่างไร ทำแบบไหน ผลเป็นอย่างไร (หรือนำบทที่ 4 ของสารนิพนธ์ ป.ตรี มานำเสนอ) มีความยาวในบทนี้ ประมาณ 20 หน้าพร้อมภาพประกอบ ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงทฤษฎี หลักการวิชาการ หรืองานของคนอื่นๆ เพราะถือว่างานของ นศ.เป็นงานบุกเบิก เป็นงานที่ปฏิบัติการเอง สรุป เรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นการเรียนจากชีวิตจริงของตนเอง (ที่ใช้เวลาเพียง 1 ภาคเรียนแล้วสอบ เพราะถือว่าเรียนมาชั่วชีวิตแล้ว) ให้อธิบายด้วยความว่า ความดีงามของ นศ.ในผลงานนี้ คืออะไรบ้าง
- บทที่ 3 สรุปผลการศึกษา คือการตอบโจทย์หัวข้อวิจัย ถ้าเราตั้งชื่อว่า ปัจจัยความสำเร็จของ… ก็ต้องตอบคำถามว่า ปัจจัยความสำเร็จของธุรกิจของนักศึกษา มีกี่ข้ออะไรบ้าง ประมาณ 5-9 ข้อ ตอบเป็นข้อๆ แล้วอธิบายความแต่ละข้อ มีตัวอย่างประกอบบ้าง เพื่อให้ชัดเจน จะได้ไม่เขียนแบบลอย ๆ อาจจะมีประเด็น ข้อเสนอแนะในอนาคต ก็ได้ หรือข้อพิจารณาเพิ่มเติมด้วยก็ได้
- การนำเสนอระดับปริญญาโท ต้องมีการมการสอบ หรือรับฟังการนำเสนออย่างน้อย 3 คน และผลงานต้องได้รับการตีพิมพ์ในวารสารของ BOU หรืออื่นๆ
- ระดับปริญญาเอก
- ผู้เรียนต้องจบปริญญาโทแล้ว
- นศ.ต้องมีผลงานประจักษ์ชัดเจนแล้ว คือ มีอาชีพ มีรายได้ หรือมีงานบริหาร งานบริการต่างๆ เป็นที่ยอมรับ จึงมาสมัครเรียนได้ หากยังไม่มีผลงาน เมื่อสมัครเรียนแล้ว ต้องสร้างผลงานให้ประจักษ์ชัดก่อน ไม่น้อยกว่า 1 ปี
- ผู้ที่มีผลงานแล้ว เมื่อสมัครเรียน ให้ใช้เวลาประมาณ 1 ภาคเรียน มาวางแผนงานว่า จะทำให้งานของตัวเอง ดีขึ้นได้อย่างไร จะปรับปรุงพัฒนางานอะไรบ้าง นศ.จะรวบรวมข้อมูลการทำงาน ข้อมูลการเปลี่ยนแปลง และผลการเปลี่ยนแปลงที่ประสบความสำเร็จ จึงจะมีสิทธิ์เข้ามาสอบจบการศึกษา
- หลักสูตรที่เรียน หรือสาขาที่จบการศึกษา ให้เป็นไปตามความสนใจของ นศ. โดยพิจารณาจากชื่อหัวข้อวิจัย
- ให้คณาจารย์ของมหาวิทยาลัย ติดตามผลการเรียนของ นศ. และจัดสอบประเมินเป็นระยะ ๆ จนกว่าจะสมบูรณ์
- หัวข้อวิจัย ให้ขึ้นต้นด้วยคำว่า รูปแบบของ..(งานหรือความสำเร็จของนักศึกษา)
Model of …..
- มหาวิทยาลัยของเรา ใช้คำว่า ต้องเขียนงานเขิงวิจักษณ์ ไม่ใช่การมาวิจัย เพราะมหาวิทยาลัยของเราเห็นว่า นศ. ต้องมีผลงานเชิงประจักษ์มาแล้ว จึงจะถอดองค์ความรู้ที่วิจักษณ์ (วิจักษณ์คือการรู้ทะลุ รู้แจ่มแจ้ง รู้ชัดเจน) ไม่ใช่ นศ.ไม่รู้อะไร แล้วมาวิจัยหาความรู้ หาความจริง แล้วมาสรุปของจบการศึกษา ให้เน้นที่งานของตนเอง ไม่เน้นที่งานของคนอื่น ๆ ไม่ให้ไปเก็บข้อมูลคนอื่น เก็บแบบสอบถามจากคนอื่น ๆ ไปรวบรวมความรู้ของคนอื่น ๆ ให้เน้นที่งานของตนเองที่ลงมือทำแล้ว เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ
- การวิจักษณ์ เป็นนิโรธ การวิจัย คือมรรควิธี ผู้มาสอบจบ ป.เอก จึงเอานิโรธมาสอบ รูปแบบที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างไร
- การนำเสนอหัวข้อดุษฎีนิพนธ์ นศ. ปริญญาเอก ซึ่งเป็นการสังเคราะห์ผลงานความสำเร็จ มี 3 หัวข้อดังนี้
- บทที่ 1 ความสำคัญของเรื่อง ให้นำเสนอ ความเป็นมา ความสำคัญ แรงบันดาลใจ ปัญหาที่พบ และเรื่องที่อยากวิเคราะห์ ให้พิจารณาจากหลักการกว้าง ๆ ไปจนถึงจุดเล็กๆ ที่เราจะนำเสนอ พูดในหลักการกว้าง ๆก่อน
- บทที่ 2 ผลงานการวิเคราะห์ คล้ายกับการนำเสนอในระดับ ป.โท แต่ให้เพิ่มเติมข้อมูลจาก ป.โท นำเสนอเรื่องราวของ นศ. ทำอะไร ทำอย่างไร ทำแบบไหน ผลเป็นอย่างไร (หรือนำบทที่ 4 ของสารนิพนธ์ ป.ตรี มานำเสนอ) มีความยาวในบทนี้ ประมาณ 20 หน้าพร้อมภาพประกอบ ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงทฤษฎี หลักการวิชาการ หรืองานของคนอื่นๆ เพราะถือว่างานของ นศ.เป็นงานบุกเบิก เป็นงานที่ปฏิบัติการเอง สรุป เรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นการเรียนจากชีวิตจริงของตนเอง (ที่ใช้เวลาเพียง 1 ภาคเรียนแล้วสอบ เพราะถือว่าเรียนมาชั่วชีวิตแล้ว) ให้อธิบายด้วยความว่า ความดีงามของ นศ.ในผลงานนี้ คืออะไรบ้าง
- บทที่ 3 สรุปผลการศึกษา คือการตอบโจทย์หัวข้อวิจัย ถ้าเราตั้งชื่อว่า รูปแบบของ…….. ก็ต้องตอบคำถามว่า รูปแบบของ…..ความสำเร็จของธุรกิจของนักศึกษา ที่ทำมาเอง ไม่ได้ไปลอกใคร ไม่ได้ไปศึกษาของใครมา มีกี่ข้ออะไรบ้าง ประมาณ 5-9 ข้อ ตอบเป็นข้อๆ แล้วอธิบายความแต่ละข้อ มีตัวอย่างประกอบบ้าง เพื่อให้ชัดเจน จะได้ไม่เขียนแบบลอย ๆ อาจจะมีประเด็น ข้อเสนอแนะในอนาคต ก็ได้ หรือข้อพิจารณาเพิ่มเติมด้วยก็ได้
- การนำเสนอระดับปริญญาเอก ต้องมีการมการสอบ หรือรับฟังการนำเสนออย่างน้อย 3 คน และผลงานต้องได้รับการตีพิมพ์ในวารสารของ BOU หรืออื่นๆ
- การเข้ารับการศึกษาในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ให้ นศ.บริจาคตามหลักเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด หรือการบริจาคตามเกณฑ๋ที่สถาบันสมทบจัดบริการให้กับนักศึกษา ตามข้อตกลงกับนักศึกษา
- การขอรับปริญญากิตติมศักดิ์
การขอรับปริญญากิตติมศักดิ์ ตั้งแต่ ป.ตรี ถึง ป.เอก มีความเป็นไปได้
- บุคคลที่จะขอรับตำแหน่ง ต้องถือว่าเป็นพันธสัญญาจะมาร่วมงานกับ BOU มาช่วยเหลือ สนับสนุน ตามกำลัง และตามโอกาส การช่วยสอน ช่วยบรรยาย ร่วมเป็นกรรมการสอบ หรือช่วยเผยแพร่ชื่อเสียงและแนวทางของ BOU
- ขอกิตติมศักดิ์ ป.ตรี มีชื่อเสียง หรือมีผลงานระดับท้องถิ่น ระดับตำบล ขอรับ กิตติมศักดิ์ ป.โท มีชื่อเสียงระดับเมือง ขอกิตติมศักดิ์ ระดับ ป.เอก ต้องมีผลงานระดับแขวงหรือระดับประเทศ
- ต้องส่งประวัติและผลงานตามเอกสารแนบ และต้องนำเสนอองค์ความรู้สำคัญที่บุคคลผู้นั้นได้ประสบความสำเร็จ หรือบรรลุถึง ยกเว้นเป็นบุคคลสำคัญ
- รองอธิการบดี และคณะกรรมการที่รองอธิการบดี ตั้งขั้น เป็นกรรมการพิจารณา
- ผู้ได้รับการเสนอชื่อ ร่วมบริจาคสนับสนุนมหาวิทยาลัยตามสมควร
- การขอตำแหน่งทางวิชาการ
การขอรับตำแหน่งวิชาการจาก BOU เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ตามหลักเกณฑ์ดังนี้
- การรับตำแหน่ง ผศ. และ รศ.
- ผู้ขอตำแหน่ง ต้องเป็นคณาจารย์ประจำของ BOU หรือเป็นคณาจารย์พิเศษของ BOU หรือต้องมีพันธสัญญาที่จะร่วมงาน สนับสนุนงานของ BOU
- ต้องมีผลงานการร่วมสอน ร่วมประเมิน ร่วมเป็นกรรมการสอบ นศ.ของ BOU หรือเป็นศูนย์บริการของ BOU ในท้องถิ่นในเมืองหรือในแขวงของ นศ. เป็นที่ประจักษ์แล้ว
- ต้องมีผลงานวิชาการ คล้ายกับหัวข้อดุษฎีนิพนธ์ ป.เอก ระดับละ อย่างน้อย 2 เรื่อง
- หากเป็น อ.ประจำ จะใช้คำว่า ผศ. และ รศ. ถ้าไม่ได้เป็น อ.ประจำ จะเป็นตำแหน่ง ผศ. พิเศษ หรือ รศ.พิเศษ
- ร่วมบริจาคสนับสนุนการศึกษาของมหาวิทยาลัย ตามสมควร
- การรับตำแหน่ง ศ.
- ต้องเป็น รศ.ไม่น้อยกว่า 3 ปี และหากเป็นอาจารย์ประจำ จะใช้คำว่า ศ. ไม่มีคำว่าพิเศษ ถ้าไม่เป็น อ.ประจำ จะใช้คำว่า ศ.พิเศษ
- ต้องมีผลงานการร่วมสอน ร่วมประเมิน ร่วมเป็นกรรมการสอบ นศ.ของ BOU หรือเป็นศูนย์บริการของ BOU ในท้องถิ่นในเมืองหรือในแขวงของ นศ. เป็นที่ประจักษ์แล้ว
- ต้องมีผลงานวิชาการ คล้ายกับหัวข้อดุษฎีนิพนธ์ ป.เอก อย่างน้อย 2 เรื่อง
- ร่วมบริจาคสนับสนุนการศึกษาให้กับมหาวิทยาลัยตามสมควร
- การขอรับตำแหน่งบริหารระดับจังหวัด ระดับเมือง
รองอธิการบดีสามารถจะเสนอบุคคลเพื่อเข้ารับตำแหน่ง ผู้ช่วยอธิการบดีประจำเมือง หรือประจำแขวงได้
ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ จะต้องมีเจตจำนงหรือความตั้งใจแน่วแน่ที่จะพัฒนาการศึกษาสำหรับพระภิกษุสามเณร และสำหรับประชาชนทั่วไป เพื่อสร้างความดีความงามให้เกิดขึ้นในท้องถิ่น และควรต้องมีผลงานแล้ว มีแต่ความตั้งใจ แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอะไร ยังไม่ควรเสนอชื่อมาเพื่อรับการแต่งตั้ง
ผู้ขอรับตำแหน่ง ควรจะได้เรียนในระดับปริญญาเอกแล้ว เพื่อให้ท่านมีศักดิ์ศรี มีเครดิตในการทำงาน
ผู้ขอรับตำแหน่ง ควรจะบริจาคเงินให้มหาวิทยาลัยตามสมควร เพื่อให้มหาวิทยาลัยนำไปสนับสนุนการศึกษาของพระสงฆ์ด้วย